คำว่า “  ภาษี ” ไม่ใช่เรื่องของมนุษย์เงินเดือนเท่านั้น แต่เกี่ยวข้องกับทุกคนที่ “มีรายได้ ” อย่างเลี่ยงไม่ได้

ในยุคที่ใคร ๆ ก็มีรายได้หลากหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน ค่าจ้างอิสระ ขายของออนไลน์ รับรีวิว หรือแม้แต่รายได้จากการลงทุน

อย่างไรก็ตาม มีผู้มีรายได้จำนวนมากที่ยังเข้าใจเรื่องค่าบำรุงรัฐแบบคลาดเคลื่อน

หรือเข้าใจเพียงผิวเผิน เช่น คิดว่าถ้าไม่ได้โดนหักค่าบำรุงรัฐ ณ ที่จ่ายก็ไม่ต้องยื่น

หรือถ้าขายของออนไลน์เล็กน้อยก็ไม่เข้าข่ายถูกตรวจสอบ

ซึ่งทั้งหมดนี้อาจนำไปสู่การถูกเรียกตรวจสอบย้อนหลัง หรือในบางกรณีอาจถึงขั้นถูกดำเนินคดีทางค่าบำรุงรัฐ

วางแผน ภาษี = วางแผนชีวิต

     บทความนี้จะสรุป 5 เรื่องสำคัญเกี่ยวกับ “เงินและค่าบำรุงรัฐ ” ที่ทุกคนมีรายได้ควรเข้าใจ เพื่อให้คุณสามารถวางแผนได้อย่างถูกต้อง ไม่พลาด ไม่เสียสิทธิ์ และไม่ถูกสรรพากร “เรียกคุย ” โดยไม่รู้ตัว

1. รายได้ทุกประเภทต้องเสียภาษี (เว้นแต่กฎหมายยกเว้นไว้)

     หลายคนเข้าใจผิดว่าเฉพาะเงินเดือนหรือรายได้ทางการเท่านั้นที่ต้องเสียค่าบำรุงรัฐ ความจริงแล้ว “รายได้ทุกทาง” ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากงานประจำ งานฟรีแลนซ์ การขายของออนไลน์

การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ รายได้จากดอกเบี้ย เงินปันผล หรือแม้แต่เงินจากยูทูบ-ติ๊กต็อก หากมียอดถึงเกณฑ์ ก็เข้าข่ายต้องเสียค่าบำรุงรัฐ

ประเภทของรายได้ตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร แบ่งเป็น 8 ประเภท เช่น

  • ม.40(1): เงินเดือน ค่าจ้างประจำ

  • ม.40(2): ค่าจ้างชั่วคราว วิทยากร

  • ม.40(5): ค่าเช่าบ้าน ค่าที่ดิน

  • ม.40(8): ค่าขายสินค้า ค่าบริการอิสระ ค่าลิขสิทธิ์

     แม้ว่ารายได้บางประเภทจะได้รับการยกเว้น เช่น เงินที่ได้จากมรดก หรือของขวัญในบางกรณี แต่หากคุณมีรายได้รวมต่อปีเกิน 60,000 บาท สำหรับผู้โสด (หรือ 120,000 บาท สำหรับคู่สมรสไม่มีรายได้) คุณก็ “มีหน้าที่ยื่นค่าบำรุงรัฐ” ทันที แม้จะยังไม่ถึงขั้นต้องจ่าย

2. รายได้ “ผ่านบัญชี” คือหลักฐานสำคัญของสรรพากร

     ในยุคดิจิทัลที่การโอนเงินเข้าบัญชีเป็นเรื่องปกติ การตรวจสอบรายได้ของบุคคลจึงง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก โดยเฉพาะกรณีของ “คนขายของออนไลน์” หรือ “ฟรีแลนซ์” ที่ไม่ได้มีเอกสารหักค่าบำรุงรัฐ ณ ที่จ่ายแบบพนักงานประจำ

สิ่งที่สรรพากรมักขอดูหากสงสัยว่าเลี่ยงภาษี คือ:

  • รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน–1 ปี

  • สลิปโอนเงิน รายการรับเงินทางแอปหรือวอลเล็ต

  • สัญญาหรือหลักฐานการทำงาน

   หากคุณมีเงินเข้าออกบัญชีถี่ และไม่สามารถอธิบายแหล่งที่มาได้อย่างมีเหตุผล หรือรายได้ไม่ตรงกับที่ยื่นแบบ สรรพากรอาจ “เรียกสอบสวน” หรือ “ประเมินย้อนหลัง” ได้ โดยมีโทษทั้งค่าปรับและเบี้ยปรับรายวัน

ข้อแนะนำ:

  • แยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีรายได้-ธุรกิจให้ชัด

  • ทำบัญชีรายรับรายจ่ายไว้เป็นหลักฐาน

  • เก็บสลิปโอนหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ไว้เป็นระยะ

3. ยื่นภาษีทุกปี = ปลอดภัย แม้ยังไม่ต้องจ่าย

   หลายคนคิดว่าถ้าไม่มีรายได้หลัก หรือรายได้ยังไม่ถึงเกณฑ์เสียค่าบำรุงรัฐ ก็ไม่จำเป็นต้องยื่นแบบค่าบำรุงรัฐ (ภ.ง.ด.90 หรือ 91) ซึ่งเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

ความจริงคือ “การยื่นแบบ” และ “การเสียค่าบำรุงรัฐ” คือคนละเรื่องกัน
   คุณสามารถยื่นแบบแล้วระบุว่าปีนี้มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์จ่ายค่าบำรุงรัฐได้เช่นกัน และหากคุณมีค่าลดหย่อนหรือเครดิตค่าบำรุงรัฐจากการลงทุน ก็บันทึกไว้ล่วงหน้าได้เลย

ข้อดีของการยื่นค่าบำรุงรัฐแม้ไม่ต้องจ่าย คือ:

  • ได้รับสิทธิประโยชน์ในการกู้เงิน ซื้อบ้าน ฯลฯ

  • มีเอกสารทางการเงินสำหรับใช้ประกอบธุรกรรม

  • ป้องกันการถูกสรรพากรประเมินย้อนหลัง

กรณีที่นิยมยื่นคือ:

  • ฟรีแลนซ์ที่เพิ่งเริ่มทำงาน

  • ผู้ที่รายได้สลับปี เช่น ได้งานเป็นช่วง ๆ

  • พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ยอดยังไม่ถึงล้านต่อปี

5. โดนตรวจสอบย้อนหลัง ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

     การ “โดนสรรพากรเรียกสอบ” ในอดีตอาจดูเหมือนไกลตัว แต่ในปัจจุบันที่ข้อมูลดิจิทัลถูกเชื่อมโยงมากขึ้น ทั้งจากธนาคาร e-Wallet แพลตฟอร์มออนไลน์ หรือจากธุรกิจที่แจ้งค่าบำรุงรัฐไว้ สรรพากรสามารถตรวจจับความผิดปกติได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่างพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจถูกจับตา:

  • รายได้เข้าเยอะ แต่ไม่เคยยื่นค่าบำรุงรัฐ

  • โอนเงินเข้าบัญชีหลายแหล่งโดยไม่มีที่มา

  • ขายของออนไลน์แต่ไม่เปิดบิล/ออกใบเสร็จ

  • มีทรัพย์สินมากกว่ารายได้ที่แจ้งไว้

หากโดนตรวจสอบ อาจเจอผลลัพธ์ดังนี้:

  • เสียค่าบำรุงรัฐย้อนหลังสูงกว่าปกติ

  • เสียเบี้ยปรับ 1.5% ต่อเดือน และค่าปรับ 100%–200% ของค่าบำรุงรัฐ

  • โดนระงับสิทธิทางการเงิน เช่น ขอสินเชื่อไม่ผ่าน

วางแผนภาษี = วางแผนชีวิต

   ค่าบำรุงรัฐอาจดูเป็นเรื่องน่ากลัวและซับซ้อนในสายตาหลายคน แต่หากมองให้ดี การเข้าใจและวางแผนค่าบำรุงรัฐอย่างรอบคอบตั้งแต่ต้น คือการวางแผนชีวิตอีกด้านหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้การทำงานหรือการลงทุน

5 เรื่องที่คนมีรายได้ทุกคนควรรู้เกี่ยวกับค่าบำรุงรัฐ คือ:

  1. รายได้ทุกประเภทมีโอกาสเสียค่าบำรุงรัฐ

  2. การเดินบัญชีคือหลักฐานที่ใช้ตรวจสอบ

  3. การยื่นค่าบำรุงรัฐประจำปีควรทำต่อเนื่อง

  4. สิทธิลดหย่อนช่วยได้ แต่ไม่ใช่เครื่องมือหลบเลี่ยง

  5. การถูกตรวจสอบค่าบำรุงรัฐไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

อย่ารอจนถูก “เรียกคุย” ถึงค่อยเริ่มวางแผน — เพราะค่าบำรุงรัฐคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ “บริหารได้” ถ้าเข้าใจและเตรียมพร้อมล่วงหน้า

     หากคุณยังไม่เคยยื่น ภาษี หรือลังเลว่าเงินที่คุณได้เข้าข่ายต้องเสียค่าบำรุงรัฐหรือไม่ บทความนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณหันมาให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงินและค่าบำรุงรัฐอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่ “รายได้” จะกลายเป็น “ภาระ” ในวันที่คุณยังไม่ทันตั้งตัว